เนื่องจากช่วงปลายปี 2018 ถึงต้นปี 2019 เราโดนลากไปร่วมทริปญี่ปุ่นมา เป็นทริปญี่ปุ่นครั้งแรกเลย ไปแบบมึนๆงงๆไม่ได้เตรียมวางแผนอะไรไว้เยอะ ไปเน้นหน้างานเอา เราก็เลยกะจะมาเขียนทิ้งไว้เผื่อตัวเองจะกลับมาอ่านเผื่อใครหลงมาเจอ… ต้องออกตัวล่วงหน้าด้วยนะว่าเราไม่มีความรู้เกี่ยวกับสถานที่เลย โพสต่างๆในนี้จึงจะเป็นแค่ที่เก็บเรื่องราวว่าเราไปไหนมามากกว่าจะเป็นการเล่ารายละเอียดต่างๆ
เพราะว่าเราไปเกือบ 15 วันแถมไปตั้งหลายที่เลยจะแบ่งเป็นหลายๆตอนตามนี้
- คามาคุระ
- โตเกียว คาวากุชิโกะ
- เกียวโต
- โอซาก้า ปราสาทฮิเมจิ
- ทาคายามะ คาวากุชิโกะ
ถามว่าแบ่งตามอะไรแบ่งตามวันที่ไปเที่ยวแหละแฮร่…
Preliminary – เตรียมตัวสำหรับเดินทาง
เราเริ่มต้นด้วยการไปซื้อบัตร JR Pass เนื่องจากการเดินทางในญี่ปุ่นส่วนใหญ่เราจะหวังพึ่งรถไฟ บัตร JR Pass ที่เป็นการเหมาจ่ายจึงช่วยให้การเดินทางสะดวกและประหยัดขึ้นเยอะ นอกจากนั้นเราสามารถเลือกวันเริ่มใช้ได้ด้วย อย่างวันที่เรามาก็เย็นแล้วเราเลยเลือกไปเปิดใช้วันอื่นแทนได้ อย่างหนึ่งที่จำเป็นสำหรับซื้อ JR Pass คือ Passport ซื้อกี่ใบ(1 ใบสำหรับ 1 คน) ก็ต้องใช้ passport ตามนั้นเพราะว่าเจ้าบัตร JR Pass มันระบุชื่อคนถือเลย
เวลาที่จะใช้ครั้งแรกเราต้องไปให้เขาประทับตราทีนึงตรงช่องทางเข้าสถานี ส่วนครั้งต่อๆไปก็ต้องเดินเข้าๆออกๆผ่านช่องเฉพาะทางเพราะเราจะต้องยื่นบัตรอันนี้ให้คนเฝ้าทางเข้าออกดู ข้อจำกัดของมันก็คือใช้ได้เฉพาะรถไฟของ JR เท่านั้น (แค่ใช้กับ Shinkansen ได้ก็คุ้มแล้วว)
นอกจากบัตร JR Pass แล้วเราก็ทำการเช่าบัตร Suica ซึ่งเหมือนบัตร BTS MRT แต่มันสะดวกที่เราใช้ Suica ได้เกือบทุกอย่างทั้งรถไฟ รถเมล์ แทรม หรือซื้อน้ำตามตู้กดก็ได้ วิธีใช้ Suica ก็ง่ายมาก คอยเติมเงินในบัตรไว้แล้วก็แค่ติ๊ดบัตรตอนเข้าออกสถานีรถไฟ สำหรับรถบัสนี่ต้องคอยดูตามเมืองบัสบางที่ก็ติ๊ดตอนขึ้นและลงบัส บางที่ติ๊ดแค่ตอนลง(เพราะเป็นราคาเดียวตลอดสาย)
สำหรับรถไฟถ้าเงินหมดเราก็แค่ออกจากสถานีไม่ได้ฮ่าๆ หรืออย่างมากก็ไม่ได้เข้าสถานีด้วย แต่ในสถานีเองก็จะมีที่เติมเงินอยู่แล้วก็แค่เดินย้อนกลับไปเติมและเดินกลับมาติ๊ดออกอย่างอายๆ แต่ถ้าเป็นรถบัสเขาไม่มีให้เติมเงินก็ต้องควักเงินสดมาจ่ายแทน
นอกจากสองบัตรข้างบน lol เราก็ไปซื้อมาอีกบัตรนึงเป็นบัตร Day pass สำหรับรถใต้ดินในโตเกียวคือไอ้ JR Pass เนี่ยมันใช้ได้เฉพาะรถของ JR ส่วน Suica ก็ใช้ได้แหละแต่ก็จะตัดเงินตามที่ใช้ ทีนี้เพราะเราใช้รถไฟเยอะและต้องการจะประหยัดเราก็เลยไปซื้อบัตรนี้มา โดยระยะเวลาที่ใช้ได้จะเริ่มนับจากนาทีแรกที่ใช้บวกไปอีก1วัน (หรือ 2วัน 3วันแล้วแต่ที่เราซื้อ) สำหรับการใช้เราก็ต้องสอดบัตรเข้าไปในช่องรับตั๋วแทนการติ๊ดๆแบบ Suica
อ้ออ! บัตรนี้ใช้กับ JR ไม่ได้นะ รถไฟบางสายเป็นของ JR ก็จะใช้ตั๋วนี้เข้าสถานีไม่ได้ก็ต้องเอา Suica มาติ๊ดแทนหรือถ้ามี JR Pass ใช้ได้ก็เอามาโชว์แบบหล่อๆ (แต่เราคิดว่าเปิดใช้ JR Pass พร้อมกับ Day Pass ไม่ค่อยคุ้มนะ)
JR Pass |
Suica |
Day pass |
|
ข้อดี |
เหมาจ่าย นั่งShincansenได้ |
ใช้ได้ครอบจักรวาลเว่อร์ บัตรเดียวเข้าออกได้เกือบทุกที่ |
เหมาจ่าย |
ข้อเสีย |
ใช้ได้เฉพาะตระกูล JR |
จ่ายเต็มราคา แต่ใช้เท่าไหร่ก็จ่ายเท่านั้น บัตรมีค่ามัดจำ อยากได้คืนก็ต้องไปเสียเวลาคืนนิดหน่อย |
ใช้ได้เฉพาะรถใต้ดินในโตเกียว |
เราซื้อที่ไหน? |
Narita Airport |
Narita Airport |
Shinjuku Station |
เครื่องบินที่เรานั่งไปลงที่นาริตะ เราเลยต้องหาวิธีเพื่อจะเข้าไปในเมือง จริงๆวิธีการเดินทางระหว่างสนามบินและตัวเมืองมีหลายวิธีมากเลยนะแต่เราเลือกใช้ Limousine bus โดยเราไปซื้อตั๋วที่สนามบินแล้วก็ขึ้นรถบัสมาลงที่สถานีชินจูกุเลย แถมรถบัสมีที่เก็บกระเป๋าเดินทางด้วยสบายมาก
อีกวิธีที่เรารู้คือนั่งรถไฟ Narita Express ตรงจากสนามบินเข้ามาในเมืองเลย วิธีนี้จะเร็วกว่ามากแต่ราคาก็แพงขึ้นด้วย นอกจากนั้นการซื้อตั๋วจะต้องซื้อสองใบคือตั๋วรถและตั๋วที่นั่ง
คามาคุระ
เรามาเริ่มเรื่องเที่ยวกันดีกว่าแฮร่….
จริงๆคามาคุระเป็นที่สุดท้ายที่เราไปในทริปนะแต่เราเอาขึ้นมาก่อนจะได้มาถ่วงไม่ให้เนื้อหาของโพสนี้เยอะหรือน้อยเกินไป คามาคุระก็อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากโตเกียวนะสามารถพักที่โตเกียวแล้วไปเช้าเย็นกลับได้(แต่อาจจะเก็บได้ไม่หมดนะ) เราเลือกคามาคุระเป็นจุดหมายเพราะที่นี่มี The Great Buddha of Kamakura แต่พอไปถึงเมืองนี้ก็มีอะไรมากกว่านั้นนะ…
เราเดินทางจากโตเกียวด้วยรถไฟสาย Yokosuka นั่งตรงไปคามาคุระเลยการเดินทางในพื้นที่เราสามารถใช้รถไฟในพื้นที่และรถเมล์ได้ซึ่งเราสามารถซื้อ Day pass (อีกแล้ว)สำหรับพื้นที่นี้ได้แต่บัตรนี้รู้สึกจะใช้ได้เฉพาะรถไฟในพื้นที่นะโดยซื้อได้ที่สถานีคามาคุระเลย
เนื่องจากเราออกจากโตเกียวช้าเลยผิดแผนไปนิดนึงเราเลยไปหาข้าวกลางวันก่อนที่สถานี Kita-Kamakura (1 สถานีก่อนถึงคามาคุระ) ที่สถานีนี้จะมีร้านอาหารง่ายๆขายอยู่ติดกับสถานี มีข้าวกล่อง(ที่เราต้องซื้อกลับเท่านั้น) ร้านขนมแล้วก็ร้านราเมง(ที่เจ้าของร้านใจดีมาก)
หลังจากอิ่มแล้วเราก็นั่งรถเมล์ตรงสถานีเลยไปศาล Tsurugaoka Hachimangū จนตอนนี้เราก็ยังอ่านชื่อศาลไม่ออก ศาลนี้เขาว่าเป็นจุดศูนย์รวมของนิกายชินโตในคามาคุระเลยนะตัวศาลจะอยู่ด้านบนเขาซึ่งทำให้ต้องเดินขึ้นบันไดไปนิดหน่อยแต่นั่นก็ทำให้ศาลนี้สวยงามไปเลย เราไปกันวันจันทร์แต่คนก็ยังหนาแน่นอยู่เลยแถมโชคดีมีการแสดงในหอการแสดงกลางแจ้งให้เราได้ดูด้วย


จริงๆแล้วถ้ามีเวลาเราสามารถเดินจากสถานี Kita-Kamakura และแวะเก็บวัดรายทางได้เลยนะแต่เนื่องจากเวลาน้อยเราเลยเลือกนั่งรถเมล์ แหะๆ
ด้านหน้าของวัดจะเป็นทางเดินตรงยาวเลยเนื่องจากเราไปหน้าหนาวต้นไม้เลยหงอยๆไปหน่อย เราเชื่อว่าถ้าไปตอนช่วงซากุระบานต้องสวยมากแน่ๆเพราะสองข้างทางของทางเดินคือซากุระทั้งนั้นเลย
เราเลือกเดินตามทางตรงไปที่สถานี Kamakura เพื่อจะไปต่อรถเมล์ไปยัง The Great Buddha of Kamakura หรือ Kamakura Daibutsu…
ภายในตัววัด Kotokuin ที่มี The Great Buddha of Kamakura ก็จะค่อนข้างเงียบไม่มีอะไรเอิกเริกใหญ่โต(แต่ก็ถือเป็นสถานที่ที่ควรไปลำดับต้นๆของคามาคุระเลยนะ) ด้านในก็จะมีพระองค์ใหญ่ ที่พ่อเราแอบตั้งชื่อให้ว่าหลวงพ่อโต ตั้งเด่นตระหง่านอยู่เราแอบไปค้นมาก็ได้ความว่าพระองค์นี้สร้างตั้งแต่ปีพ.ศ.1795 นอกจากนั้นที่นี่ก็ยังมีต้นสนที่ทรงปลูกโดยรัชกาลที่ 7 และรัชกาลที่ 10 ด้วยนะ

ต่อจากนั้นเราก็เดินย้อนลงมาตามทางนิดนึงจะมาเจอ Hase dera เป็นวัดที่เก็บพระโพธิสัตว์ไม้สลักไว้โดยถือเป็นรูปสลักไม้ทางศาสนาพุทธที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นเลยนะแต่ว่า… งดถ่ายรูปนะ
นอกจากนั้นด้านในตัววัดยังแบ่งออกเป็นอีกหลายๆส่วน(ที่ถ่ายรูปได้) ที่เราว่าดีคือมีให้ชมวิวเมืองและทะเลของคามาคุระด้วยนะ


เราปิดท้ายทริปคามาคุระของเราด้วยความหวังว่าจะได้เห็นภูเขาไฟฟูจิจากที่ไกลๆ จาก Hase dera เราเดินไปขึ้นรถไฟที่สถานีชื่อเดียวกันแล้วต่อไปยังสถานี Inamuragasaki
ลงเดินไปสักพักเพื่อจะมาที่แหลม Inamuragasaki อีกครั้งที่เราไม่รู้วิธีอ่านออกเสียง โดยรวมแล้ว บริเวณนี้ก็เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจที่ชิลๆอีกที่หนึ่งเลยนะ เพราะบรรยากาศบริเวณนี้ที่คนไม่ค่อยจะเยอะ แถมอีกอย่างคือทรายบริเวณนี้มีสีไปทางสีดำด้วยนะ น่าเสียดายที่เรามาเย็นไป แถมวันนี้ยังมีเมฆมากด้วยจึงทำให้ไม่สามารถมองเห็น Fujisan ได้

จริงๆ Fujisan จะตั้งอยู่ตรงนี้…

เรานั่งมอง Fujisan ในก้อนเมฆสลับกับทะเลที่เริ่มมืดลงเรื่อยๆก่อนจะเดินกลับสถานี Inamuragasaki
เพื่อขึ้นรถไฟท้องถิ่นไปสถานี Kamakura และต่อรถไฟกลับโตเกียว…