Japan trip – Kamakura

     เนื่องจากช่วงปลายปี 2018 ถึงต้นปี 2019 เราโดนลากไปร่วมทริปญี่ปุ่นมา เป็นทริปญี่ปุ่นครั้งแรกเลย ไปแบบมึนๆงงๆไม่ได้เตรียมวางแผนอะไรไว้เยอะ ไปเน้นหน้างานเอา เราก็เลยกะจะมาเขียนทิ้งไว้เผื่อตัวเองจะกลับมาอ่านเผื่อใครหลงมาเจอ… ต้องออกตัวล่วงหน้าด้วยนะว่าเราไม่มีความรู้เกี่ยวกับสถานที่เลย โพสต่างๆในนี้จึงจะเป็นแค่ที่เก็บเรื่องราวว่าเราไปไหนมามากกว่าจะเป็นการเล่ารายละเอียดต่างๆ

     เพราะว่าเราไปเกือบ 15 วันแถมไปตั้งหลายที่เลยจะแบ่งเป็นหลายๆตอนตามนี้

  • คามาคุระ
  • โตเกียว คาวากุชิโกะ
  • เกียวโต
  • โอซาก้า ปราสาทฮิเมจิ
  • ทาคายามะ คาวากุชิโกะ

     ถามว่าแบ่งตามอะไรแบ่งตามวันที่ไปเที่ยวแหละแฮร่…

 

Preliminary – เตรียมตัวสำหรับเดินทาง

     เราเริ่มต้นด้วยการไปซื้อบัตร JR Pass เนื่องจากการเดินทางในญี่ปุ่นส่วนใหญ่เราจะหวังพึ่งรถไฟ บัตร JR Pass ที่เป็นการเหมาจ่ายจึงช่วยให้การเดินทางสะดวกและประหยัดขึ้นเยอะ นอกจากนั้นเราสามารถเลือกวันเริ่มใช้ได้ด้วย อย่างวันที่เรามาก็เย็นแล้วเราเลยเลือกไปเปิดใช้วันอื่นแทนได้ อย่างหนึ่งที่จำเป็นสำหรับซื้อ JR Pass คือ Passport ซื้อกี่ใบ(1 ใบสำหรับ 1 คน) ก็ต้องใช้ passport ตามนั้นเพราะว่าเจ้าบัตร JR Pass มันระบุชื่อคนถือเลย

     เวลาที่จะใช้ครั้งแรกเราต้องไปให้เขาประทับตราทีนึงตรงช่องทางเข้าสถานี ส่วนครั้งต่อๆไปก็ต้องเดินเข้าๆออกๆผ่านช่องเฉพาะทางเพราะเราจะต้องยื่นบัตรอันนี้ให้คนเฝ้าทางเข้าออกดู ข้อจำกัดของมันก็คือใช้ได้เฉพาะรถไฟของ JR เท่านั้น (แค่ใช้กับ Shinkansen ได้ก็คุ้มแล้วว)

     นอกจากบัตร JR Pass แล้วเราก็ทำการเช่าบัตร Suica ซึ่งเหมือนบัตร BTS MRT แต่มันสะดวกที่เราใช้ Suica ได้เกือบทุกอย่างทั้งรถไฟ รถเมล์ แทรม หรือซื้อน้ำตามตู้กดก็ได้ วิธีใช้ Suica ก็ง่ายมาก คอยเติมเงินในบัตรไว้แล้วก็แค่ติ๊ดบัตรตอนเข้าออกสถานีรถไฟ สำหรับรถบัสนี่ต้องคอยดูตามเมืองบัสบางที่ก็ติ๊ดตอนขึ้นและลงบัส บางที่ติ๊ดแค่ตอนลง(เพราะเป็นราคาเดียวตลอดสาย) 

     สำหรับรถไฟถ้าเงินหมดเราก็แค่ออกจากสถานีไม่ได้ฮ่าๆ หรืออย่างมากก็ไม่ได้เข้าสถานีด้วย แต่ในสถานีเองก็จะมีที่เติมเงินอยู่แล้วก็แค่เดินย้อนกลับไปเติมและเดินกลับมาติ๊ดออกอย่างอายๆ แต่ถ้าเป็นรถบัสเขาไม่มีให้เติมเงินก็ต้องควักเงินสดมาจ่ายแทน

     นอกจากสองบัตรข้างบน lol เราก็ไปซื้อมาอีกบัตรนึงเป็นบัตร Day pass สำหรับรถใต้ดินในโตเกียวคือไอ้ JR Pass เนี่ยมันใช้ได้เฉพาะรถของ JR ส่วน Suica ก็ใช้ได้แหละแต่ก็จะตัดเงินตามที่ใช้ ทีนี้เพราะเราใช้รถไฟเยอะและต้องการจะประหยัดเราก็เลยไปซื้อบัตรนี้มา โดยระยะเวลาที่ใช้ได้จะเริ่มนับจากนาทีแรกที่ใช้บวกไปอีก1วัน (หรือ 2วัน 3วันแล้วแต่ที่เราซื้อ) สำหรับการใช้เราก็ต้องสอดบัตรเข้าไปในช่องรับตั๋วแทนการติ๊ดๆแบบ Suica 

     อ้ออ! บัตรนี้ใช้กับ JR ไม่ได้นะ รถไฟบางสายเป็นของ JR ก็จะใช้ตั๋วนี้เข้าสถานีไม่ได้ก็ต้องเอา Suica มาติ๊ดแทนหรือถ้ามี JR Pass ใช้ได้ก็เอามาโชว์แบบหล่อๆ (แต่เราคิดว่าเปิดใช้ JR Pass พร้อมกับ Day Pass ไม่ค่อยคุ้มนะ)

 

JR Pass

Suica

Day pass

ข้อดี

เหมาจ่าย นั่งShincansenได้

ใช้ได้ครอบจักรวาลเว่อร์ บัตรเดียวเข้าออกได้เกือบทุกที่

เหมาจ่าย

ข้อเสีย

ใช้ได้เฉพาะตระกูล JR

จ่ายเต็มราคา แต่ใช้เท่าไหร่ก็จ่ายเท่านั้น

บัตรมีค่ามัดจำ อยากได้คืนก็ต้องไปเสียเวลาคืนนิดหน่อย

ใช้ได้เฉพาะรถใต้ดินในโตเกียว

เราซื้อที่ไหน?

Narita Airport

Narita Airport

Shinjuku Station

     เครื่องบินที่เรานั่งไปลงที่นาริตะ เราเลยต้องหาวิธีเพื่อจะเข้าไปในเมือง จริงๆวิธีการเดินทางระหว่างสนามบินและตัวเมืองมีหลายวิธีมากเลยนะแต่เราเลือกใช้ Limousine bus โดยเราไปซื้อตั๋วที่สนามบินแล้วก็ขึ้นรถบัสมาลงที่สถานีชินจูกุเลย แถมรถบัสมีที่เก็บกระเป๋าเดินทางด้วยสบายมาก

     อีกวิธีที่เรารู้คือนั่งรถไฟ Narita Express ตรงจากสนามบินเข้ามาในเมืองเลย วิธีนี้จะเร็วกว่ามากแต่ราคาก็แพงขึ้นด้วย นอกจากนั้นการซื้อตั๋วจะต้องซื้อสองใบคือตั๋วรถและตั๋วที่นั่ง

 

คามาคุระ

     เรามาเริ่มเรื่องเที่ยวกันดีกว่าแฮร่….

     จริงๆคามาคุระเป็นที่สุดท้ายที่เราไปในทริปนะแต่เราเอาขึ้นมาก่อนจะได้มาถ่วงไม่ให้เนื้อหาของโพสนี้เยอะหรือน้อยเกินไป คามาคุระก็อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากโตเกียวนะสามารถพักที่โตเกียวแล้วไปเช้าเย็นกลับได้(แต่อาจจะเก็บได้ไม่หมดนะ) เราเลือกคามาคุระเป็นจุดหมายเพราะที่นี่มี The Great Buddha of Kamakura แต่พอไปถึงเมืองนี้ก็มีอะไรมากกว่านั้นนะ…

     เราเดินทางจากโตเกียวด้วยรถไฟสาย Yokosuka นั่งตรงไปคามาคุระเลยการเดินทางในพื้นที่เราสามารถใช้รถไฟในพื้นที่และรถเมล์ได้ซึ่งเราสามารถซื้อ Day pass (อีกแล้ว)สำหรับพื้นที่นี้ได้แต่บัตรนี้รู้สึกจะใช้ได้เฉพาะรถไฟในพื้นที่นะโดยซื้อได้ที่สถานีคามาคุระเลย 

     เนื่องจากเราออกจากโตเกียวช้าเลยผิดแผนไปนิดนึงเราเลยไปหาข้าวกลางวันก่อนที่สถานี Kita-Kamakura (1 สถานีก่อนถึงคามาคุระ) ที่สถานีนี้จะมีร้านอาหารง่ายๆขายอยู่ติดกับสถานี มีข้าวกล่อง(ที่เราต้องซื้อกลับเท่านั้น) ร้านขนมแล้วก็ร้านราเมง(ที่เจ้าของร้านใจดีมาก)

     หลังจากอิ่มแล้วเราก็นั่งรถเมล์ตรงสถานีเลยไปศาล Tsurugaoka Hachimangū จนตอนนี้เราก็ยังอ่านชื่อศาลไม่ออก ศาลนี้เขาว่าเป็นจุดศูนย์รวมของนิกายชินโตในคามาคุระเลยนะตัวศาลจะอยู่ด้านบนเขาซึ่งทำให้ต้องเดินขึ้นบันไดไปนิดหน่อยแต่นั่นก็ทำให้ศาลนี้สวยงามไปเลย เราไปกันวันจันทร์แต่คนก็ยังหนาแน่นอยู่เลยแถมโชคดีมีการแสดงในหอการแสดงกลางแจ้งให้เราได้ดูด้วย

000016
ภาพเมื่อมองกลับไปที่ศาล
000014
การแสดงที่เราโชคดีได้ดู

     จริงๆแล้วถ้ามีเวลาเราสามารถเดินจากสถานี Kita-Kamakura และแวะเก็บวัดรายทางได้เลยนะแต่เนื่องจากเวลาน้อยเราเลยเลือกนั่งรถเมล์ แหะๆ

     ด้านหน้าของวัดจะเป็นทางเดินตรงยาวเลยเนื่องจากเราไปหน้าหนาวต้นไม้เลยหงอยๆไปหน่อย เราเชื่อว่าถ้าไปตอนช่วงซากุระบานต้องสวยมากแน่ๆเพราะสองข้างทางของทางเดินคือซากุระทั้งนั้นเลย

 

     เราเลือกเดินตามทางตรงไปที่สถานี Kamakura เพื่อจะไปต่อรถเมล์ไปยัง The Great Buddha of Kamakura หรือ Kamakura Daibutsu…

     ภายในตัววัด Kotokuin ที่มี The Great Buddha of Kamakura ก็จะค่อนข้างเงียบไม่มีอะไรเอิกเริกใหญ่โต(แต่ก็ถือเป็นสถานที่ที่ควรไปลำดับต้นๆของคามาคุระเลยนะ) ด้านในก็จะมีพระองค์ใหญ่ ที่พ่อเราแอบตั้งชื่อให้ว่าหลวงพ่อโต ตั้งเด่นตระหง่านอยู่เราแอบไปค้นมาก็ได้ความว่าพระองค์นี้สร้างตั้งแต่ปีพ.ศ.1795 นอกจากนั้นที่นี่ก็ยังมีต้นสนที่ทรงปลูกโดยรัชกาลที่ 7 และรัชกาลที่ 10 ด้วยนะ

000041
The Great Buddha of Kamakura

 

     ต่อจากนั้นเราก็เดินย้อนลงมาตามทางนิดนึงจะมาเจอ Hase dera เป็นวัดที่เก็บพระโพธิสัตว์ไม้สลักไว้โดยถือเป็นรูปสลักไม้ทางศาสนาพุทธที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นเลยนะแต่ว่า… งดถ่ายรูปนะ

     นอกจากนั้นด้านในตัววัดยังแบ่งออกเป็นอีกหลายๆส่วน(ที่ถ่ายรูปได้) ที่เราว่าดีคือมีให้ชมวิวเมืองและทะเลของคามาคุระด้วยนะ

000034
ภายใน Hase dera ก็จะมีมุมให้ถ่ายรูปได้
000029
วิวชายหาดจาก Hase dera

 

     เราปิดท้ายทริปคามาคุระของเราด้วยความหวังว่าจะได้เห็นภูเขาไฟฟูจิจากที่ไกลๆ จาก Hase dera  เราเดินไปขึ้นรถไฟที่สถานีชื่อเดียวกันแล้วต่อไปยังสถานี Inamuragasaki

     ลงเดินไปสักพักเพื่อจะมาที่แหลม Inamuragasaki อีกครั้งที่เราไม่รู้วิธีอ่านออกเสียง โดยรวมแล้ว บริเวณนี้ก็เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจที่ชิลๆอีกที่หนึ่งเลยนะ เพราะบรรยากาศบริเวณนี้ที่คนไม่ค่อยจะเยอะ แถมอีกอย่างคือทรายบริเวณนี้มีสีไปทางสีดำด้วยนะ น่าเสียดายที่เรามาเย็นไป แถมวันนี้ยังมีเมฆมากด้วยจึงทำให้ไม่สามารถมองเห็น Fujisan ได้

DCIM100GOPROGOPR0616.JPG
คือถ้าอยู่ตรงนั้น บรรยากาศดีกว่าในรูปร้อยเท่า

     จริงๆ Fujisan จะตั้งอยู่ตรงนี้…

     เรานั่งมอง Fujisan ในก้อนเมฆสลับกับทะเลที่เริ่มมืดลงเรื่อยๆก่อนจะเดินกลับสถานี Inamuragasaki

 เพื่อขึ้นรถไฟท้องถิ่นไปสถานี Kamakura และต่อรถไฟกลับโตเกียว…

Before the flight

(1)

“เห้อออ…”

“แมวน้อยเป็นไรครับ” ตั้งแต่เมื่อไหร่นะที่เราเลิกเรียกชื่อแล้วหันมาเรียกแทนตัวเองว่าแมวกับวาฬ

“ไม่ได้เป็นไรสักหน่อย”

“นั่งกอดเข่าตรงนี้ถอนหายใจขนาดนี้คิดว่าไม่รู้หรือไง” ผมได้แต่นั่งก้มหน้ามองปลายเท้าตัวเอง

“ก็จะไม่ได้อยู่ด้วยกันแล้วนี่หน่า”ส่งเสียงอู้อี้ตามนิสัยตัวเอง

เขายิ้มก่อนจะเดินมาขยี้หัวจนต้องหดคอหนี “ก็ยังอยู่แค่ห่างกันนิดเดียวเอง”

“นิดเดียวบ้าไรเล่าโทรหาแล้วมาหาได้ไหมล่ะ”

“ทำไมงอแงจังล่ะเนี่ย” โดนบ่นหนึ่งทีก่อนจะโดนยกไปวางบนตักโยกหัวไปมาก่อนจะถูกจับไปแปะไว้ที่ร่องบ่า “จำได้ไหมครั้งแรกที่เจอกัน” เขาถามจนผมต้องหันกลับไปมองสงสัยจะเผลอทำหน้าเครียดเพราะเขาหัวเราะออกมาเบาๆ

“เซค 1 วิชาชีววิทยาใช่ไหมครับ”

“เหยยยยดจำได้ไง”

“แล้วตอนนั้นทำไมถึงมานั่งข้างๆกันที่นั่งก็มีตั้งเยอะ” เขาเงียบไปสักพักหน้าตาครุ่นคิดเหมือนพยายามจะดึงบรรยากาศตอนนั้นกลับมา

“เหมือนตอนนี้ไงห้องตั้งกว้างนั่งคนเดียวคงเหงาแย่” พูดพลางกระชับแขนมากอดบริเวณเอวเอาไว้

“นั่งอยู่ 2 เดือนแล้วก็หายไป”

เราเป็นเพื่อนกันอยู่ประมาน 2 เดือนก่อนจะแยกย้ายไปตามกลุ่มที่น่าจะทำให้รู้สึกสบายใจมากกว่าเขาไปอยู่กับกลุ่มที่ทั้งชั้นปีเรียกว่า ‘ท้อปโมเดล’ เนื่องจากมีแต่พวกหน้าตาดีส่วนผมหรอ… อยู่ในกลุ่มที่อยู่ระดับกลางๆไม่ได้มีอะไรโดดเด่นเท่ากับเขาเวลาเรียนก็เจอกันทักทายกันไม่มีอะไรพิเศษที่บ่งบอกว่าจะมาอยู่กันแบบนี้ได้

“งอนหรอ”

“เปล่าซะหน่อย”

“งอนขัดๆ” พูดแล้วก็เอานิ้วมาจิ้มที่แก้มบ้าบอ… “หิวหรือยัง”

“ก็นิดนึง”ผมตอบก่อนจะกลับไปพิงที่ร่องบ่าของเขาพลิกตัวซุกไปมาอยากอยู่แบบนี้นานๆชะมัด…

 

(2)

“ไปนานไหม”ผมถามก่อนจะจุดบุหรี่สูบเขามองหน้าผมอย่างเบื่อหน่ายไม่รู้ว่าเพราะคำถามที่ถามซ้ำแล้วซ้ำอีกหรือเพราะบุหรี่ในมือ

“หนึ่งปีไง”

“ตั้ง 12 เดือนเลยนะ”

“ก่อนหน้านี้ไม่มีปอนด์แมวยังอยู่ได้เลย” พูดแบบนี้ใครมันจะไปต่อได้วะ “จะพยายามโทรมาหาทุกวันนะ”

“ไม่ต้องหรอกกว่าจะโทรมาแมวก็หลับแล้ว”

“ทำไมต้องงอน”

“ไม่ได้งอนนะ”

“งอนชัดๆ”

“…” ไม่เถียงหรอกเถียงไปก็ไม่ชนะเอาจริงๆผมไม่เคยเถียงใครชนะเลยต่างหาก

“Tinder ก็ยังมีอยู่นี่ปัดขวาไปสิ” เขาพูดทำลายความเงียบหลังจากผมพ่นควันออกทางปาก

“นี่แอบเปิดดูโทรศัพท์หรอ? ตอนไหน?”

“หลับได้ทั้งวันขนาดนี้เอานิ้วมาจิ้มปลดล็อคยังไม่รู้ตัวเลย” เขายิ้มยิ้มทำลายล้างแบบนั้นอีกแล้วยอมก็ได้…

“ไม่หวงหน่อยหรอ”ผมถาม

“ก็แมวบอกเองว่าความรักกับเซ็กส์มันแยกกัน” เขาพูดหน้าตาเฉยให้ตายสิทำไมต้องย้อน “แต่ก็อย่ามั่วมากนะอันตราย”

“มีแฟนแล้วไม่มั่วหรอก”

“ถ้าไม่ติดว่าสูบบุหรี่อยู่นะพ่ออุ้มขึ้นเตียงแน่” เขาพูดก่อนจะส่งยิ้มอันน่ากลัวมาอีกแล้วยิ้มที่รู้ว่าต้องมีเรื่องให้เหนื่อยชัวร์ๆ

“พูดแบบนี้กูยอมทิ้งบุหรี่เลยนะ…”

 

(3)

“วันนั้นจะไปส่งวาฬไหม” เขาถามพลางลูบไล้ไหล่ของผม

“ไปได้หรอ” ผมถามกลับเพราะตอนแรกเราตกลงกันแล้วว่าผมจะไม่ไปส่งเขาเพราะติดงานสำคัญ

“ไม่ไปแหละดีแล้ว”

“กลัวร้องไห้หรอ”

“ใครกันแน่ที่จะร้องไห้” เขากระซิบที่ข้างหูก่อนจะงับมันเบาๆ 

“แมวร้องก่อนแล้วเด่ววาฬก็ไปแอบร้องแมวรู้เหอะ”ผมหดคอหนีพลางหันไปย่นจมูกใส่

ท่ามกลางความมืดเขายิ้มกลับมาไม่ใช่ยิ้มทำลายล้างไม่ใช่ยิ้มน่ากลัวมันคือรอยยิ้มทีเผลอที่มีเสน่ห์ของเขารอยยิ้มแทนคำขอบคุณในวันแรกที่เราเจอกัน

“จ้องขนาดนี้กะให้ละลายไปเลยหรอ”

“บ้า…” ผมตีเบาๆลงไปบนอกของเขา

“เนี่ยเดี๋ยวจะไม่ได้เจอแมวน่ารักๆแบบนี้อีกตั้งนาน” ให้ตายสิยิ้มไม่ยอมหุบขนาดนี้กะให้ตายกันเลยหรือไง “อยู่นิ่งๆให้กอดนานๆได้ไหมครับ”

เรานอนกอดกันอยู่อย่างนั้นนานเท่าไหร่ไม่รู้แต่สิ่งที่ผมรู้คืออยากหยุดเวลาเอาไว้แบบนั้นชะมัด…

เหตุผล

แหะๆ เริ่มไงดี…

 

ก็ หายไปนาน… นานมาก เพราะว่ามีอะไรหลายๆอย่างที่จะเอามาอ้างได้ 😛 เรียนงี้ ทำงานงี้

 

แต่ได้ไปคุยกับเพื่อนคนนึง ว่าเออ เรายังรู้สึกอยากเขียนอะไรอยู่บ้าง แต่ก็ไม่รู้จะเขียนอะไร แล้วก็ได้คำตอบมาว่า “ก็ลองเขียนอะไรก็ได้ เขียนไปเถอะ” เลยลองย้อนกลับมาดูที่บล๊อกตัวเอง ไม่แน่ใจว่าสถิติในนี้นับยังไง มีสแปม หรือมีคนเข้ามาอ่านจริงๆ แต่ก็มียอด view ให้เห็นบ้างประปราย

“ก็ลองเขียนอะไรก็ได้ เขียนไปเถอะ”

 

ก็เลยคิดว่า อะ… เขียนก็ได้ เผื่อมีคนหลงเข้ามาอ่าน ฮ่าๆ

ตอนนี้เรียนอยู่ด้วยแหละ เรียนด้าน Cyber Security แต่เนื้อหาที่จะเขียนก็จะเป็นทั้งที่เรียนมา หรืออะไรที่นั่งมโนแล้วแต่ขึ้นมา แต่ไม่ต้องห่วงนะ เราจะใส่กลุ่มไว้ เพราะงั้น อะไรที่มโนกับอะไรที่เรียนก็จะแยกๆไว้แหละ

 

ตอนนี้ก็ยังไม่แน่ใจเลยแหะ ว่าจะคงความขยันได้ขนาดไหน จะพยายามนะครับ ^ ^)

TK

Internet of Things: เมื่อทุกสรรพสิ่งเชื่อมต่อกัน

ห่างหายจากการอัพบล๊อกไปนานแสนนาน ช่วงนี้แอบยุ่งอยู่ครับ ทั้งงาน ทั้งเล่นเกม ยุ่งแค่ไหนน่ะหรอ? วันนี้ผมจะมาเล่าเกี่ยวกับอีเวนต์หนึ่งซึ่งผมได้ไปเข้าร่วมมาครับ ป่ะ… อ่านกัน

 

เมื่อวันเสาร์ที่ 24 มกราคมที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสไปร่วมงาน Software Expo Asia: Digital Integration ซึ่งจัดโดย Software Industry Promotion Agency หรือที่เราคุ้นหู(มั้ง)ว่า SIPA ร่วมกับ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ในงานมีทั้งการออกบูท และประชุมสัมนาวิชาการมากมาย

เกริ่นซะเยอะ จริงๆแล้วผมไปร่วมงานด้วยจุดประสงค์คืออยากไปเข้าฟังการประชุมเกี่ยวกับ Internet of Things (IoT) (ที่จะเอามาพูดนี่แหละ) เกริ่นอีกสักรอบ ที่ผมสนใจใจหัวข้อนี้เนื่องจากค่อนข้างที่จะตรงกับโปรเจคจบของผม, ผมอยากไปขอรับคำปรึกษาจากผู้ที่ทำงานด้านนี้เผื่อจะเอามาใช้ในโปรเจคจบได้, และ หัวข้อนี้มันน่าสนใจจริงๆแหละ

iot-2-850x750

picture credit

           เข้าเรื่องละนะ… พูดถึงคำว่า Internet of Things หรือ Internet of Every Thing หรือ IoT หลายๆคนอาจจะเคยได้ยินผ่านหูมาบ้าง ผมเชื่อแหละว่าต้องเคยได้ยินคำเหล่านี้มาเพราะมันเป็นเทรนด์ที่กำลังมาเลยนะ ถ้าเราจะจำกัดความง่ายๆสั้นๆสำหรับเจ้า IoT มันก็คือ การที่สิ่งของต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้า, อาคารต่างๆ, รวมถึงเซนเซอร์ สามารถติดต่อขึ้นระบบอินเตอร์เน็ต และสร้างเครือข่ายที่สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลกันเองได้! พูดให้ง่ายๆขึ้นอีกก็คือ

ทุกสิ่งมันเริ่มคุยกันเองแล้วแหละ

Continue reading “Internet of Things: เมื่อทุกสรรพสิ่งเชื่อมต่อกัน”

Compiler: มารู้จักคอมไพเลอร์กัน

หลังจากลงอะไรที่หาสาระไม่ค่อยจะได้มาหลายครั้ง

เลยคิดว่า บางทีเราก็ควรทำตัวมีสาระบ้างจะดีไหม?

โพสนี้เลยจะเป็นเรื่องที่มีสาระขึ้นมาบ้าง ซึ่งจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับ Compiler (คอมไพเลอร์) นะครับ

ต้องเท้าความก่อนว่าผมเพิ่งเรียนวิชาคอมไพเลอร์จบมา เลยอย่างลองเอามาเล่าๆ

นอกจากนั้น การเป็นโปรแกรมเมอร์ ก็ควรจะต้องรู้จักคอมไพเลอร์(จริงไหม?)

งั้นไปเริ่มกันเลยยยย

 

Compiler, what is it?

“ก่อนจะรันได้ ก็ต้องคอมไพล์โปรแกรมก่อนนะ”

“คอมไพล์ไม่ผ่านนน ผิดอะไรไม่รู้อ่า”

เวลา(หัด)เขียนโปรแกรม ก็มักจะเจอสองประโยคข้างต้น สรุปแล้วไอ้การคอมไพล์ และคอมไพเลอร์มันคืออะไรกันล่ะ?

พูดสั้นๆ รวบรัด

คอมไพเลอร์ก็คือโปรแกรมชนิดหนึ่ง ซึ่งมีหน้าที่ แปลงโปรแกรมจากภาษา(คอมพิวเตอร์)ชนิดหนึ่ง ไปเป็นอีกภาษาหนึ่ง

ดังนั้นเวลาที่เราคอมไพล์โปรแกรมที่เราเขียน เช่น C, Java คอมไพเลอร์ซึ่งเป็นโปรแกรมแปลภาษาก็จะทำหน้าที่ตรวจสอบความถูกต้อง และแปลภาษานั้นๆไปเป็นอีกโปรแกรมที่เหมือนกันในอีกภาษาหนึ่งเช่น Assembly อะไรแบบนี้

Continue reading “Compiler: มารู้จักคอมไพเลอร์กัน”

Short Story: New Year’s Eve

ผมนอนมองความว่างเปล่าของเพดานมาร่วมชั่วโมงแล้ว ก่อนหน้านั้นก็นั่งสไลด์มือถือไปมา หวังว่าจะมีใครสักคนทักมาบ้าง

เสียงจากเพื่อนบ้านดังอึกทึก จะไม่ให้ดังแบบนี้ได้ไง ก็มันวันสิ้นปีนี่หน่า ใครๆก็อยากฉลองปีใหม่ที่จะมาถึงในไม่อีกกี่ชั่วโมงกันทั้งนั้น ส่วนผมน่ะหรอ? นอนเปื่อยอยู่บนเตียงนี่ไง…

จริงๆการนอนนิ่งๆมองเพดานในวันสิ้นปีแบบนี้ก็ไม่เห็นแปลกนะ ถ้าเราไม่มองว่ามันคือวันพิเศษน่ะ

 

ผมนอนเหม่อมองเพดานสีขาวสลับกับไฟประดับต้นคริสต์มาสที่อุตส่าห์หามาสร้างบรรยากาศให้กับตัวเอง ปล่อยให้เพลงที่เปิดแต่ไม่ได้ตั้งใจจะฟังไหลผ่านโสตประสาท พลางนึกถึงว่า ในปีที่ผ่านมาเราทำอะไรไปบ้างนะ?

ผมหยิบมือถือขึ้นมาอีกครั้ง เปิดแอพพลิเคชั่นไดอารี่แล้วก็ลองสไลด์ดูว่าทำอะไรไปบ้างในปีที่ผ่านมา หลายๆเหตุการณ์ก็ลืมไปแล้วว่าเคยเกิดขึ้น หลายๆอย่างก็เสียดายที่ทำอะไรพลาดไป หลายๆความคิดก็ชวนขำว่าทำไมตอนนั้นถึงคิดแบบนั้นนะ จนมาถึงวันนี้เมื่อปีที่แล้ว…

วันที่ผมโดนใครคนหนึ่งลากออกจากห้องแคบๆห้องนี้ ออกจากพื้นที่ที่เรารู้สึกปลอดภัย ออกไปพบผู้คนมากมายเบียดเสียดยัดเยียด …แต่กลับรู้สึกอุ่นใจอย่างประหลาดที่มีใครสักคนอยู่ตรงนั้นกับเรา

พอหันกับมามองตัวเองตอนนี้ เห้อ… อยู่ในที่ที่รู้สึกว่าตัวเองปลอดภัย แต่กลับรู้สึกว่างๆ โหวงๆ อย่างบอกไม่ถูก

Continue reading “Short Story: New Year’s Eve”

อยู่กับปัจจุบันสิ ยากตรงไหน?

“อยู่กับปัจจุบันสิ จะได้ไม่เครียด”

…ผมเคยใช้คำนี้ปลอบเพื่อนคนหนึ่งในช่วงที่เขารู้สึกแย่

เมื่อก่อนผมเป็นคนง่ายๆ สบายๆ ชิลจนหลายคนกังวลกับชีวิตผม ทำให้ผมรู้สึกว่า คำว่า “อยู่กับปัจจุบัน” มันไม่เห็นจะยากตรงไหน ในเมื่อเราก็อยู่กับมันทุกวี่ทุกวัน และทุกเวลา…

ไม่รู้ว่าเพราะเราไม่ทันคิด หรือเรายังเด็กไป จึงทำให้เราไม่รู้ตัวว่า การ“อยู่กับปัจจุบัน” มันยากขนาดไหน เพราะจริงๆแล้วเราแทบจะไม่ได้อยู่กับปัจจุบันเลย

Continue reading “อยู่กับปัจจุบันสิ ยากตรงไหน?”

วันสิ้นโลก?

จริงๆแล้ว ข้อความข้างล่างมันถูกเขียนเมื่อหลายปีก่อนครับ จำได้ไหม “วันสิ้นโลก” ที่เราเคยแอบกลัว ผ่านมาหลายปีแล้วบังเอิญนึกถึงเลยขุดขึ้นมา

 

——————————————–

ตอนนี้ผมเชื่อว่าหลายๆคนคงจะได้ยินเรื่องของ “วันสิ้นโลก” ในวันที่ 21 ธันวาคม แล้ว ซึ่งมันก็คือวันพรุ่งนี้นี่เอง

ผมจำได้ว่าเมื่อปีที่แล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก มีหนัง มีข่าว และมีอะไรมากมาย

ตรงกันข้าม ปีนี้เรื่องราวเหล่านั้นกลับดูเงียบเหงา เหมือนหลายๆคนจะไม่สนใจมันเลย

อาจจะเป็นเพราะประกาศจากองค์กรทางวิทยาศาสตร์ต่างๆ ที่บอกว่าโลกไม่แตกหรอก

Continue reading “วันสิ้นโลก?”

Hello Prologue

จริงๆก็ไม่เข้าใจเหมือนกันนะครับ

ทำไมเวลาหัดเขียนโปรแกรมจะต้องเริ่มต้นด้วย “Hello Something”

แต่สุดท้าย… ผมก็ใช้มันเปิดบล๊อกเหมือนกัน ฮ่ะๆ

อาจจะเป็นบล๊อกที่มีสาระบ้าง หรือไร้สาระบ้าง(เป็นส่วนใหญ่)

เนื้อหาที่คิดว่าอยากจะลงก็

  • ชีวิตประจำวันของโปรแกรมเมอร์ตัวเล็กๆ
  • ความคิดที่บางทีนั่งเหม่อๆก็ลอยเข้ามา
  • เรื่องที่แต่งขึ้นเอง
  • และ เทคโนโลยีเล็กๆน้อยๆ

ฝากบล๊อกเล็กๆไว้ด้วยนะครับ